วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มาริโอ้ เมาเร่อ (mario muarer) ตอนที่1

ประวัติชื่อ  มาริโอ้ เมาเร่อ    (mario muarer)
 ชื่อเล่น   โอ้
 เกิด 13 กันยายน 2531
 จบจาก  เซดอมิกนิค
 ชอบเล่น สเกต ร้องเพลง
 สไตรเพลงที่ชอบ  ฮิบฮอพ
 นิสัย เป็นกันเอง
 มีพี่ 1 คน ชื่อ  มาโค เมาเร่อ(macro  muarer)
  ชอบเดินเล่น   แถวสยาม
  ผลงานที่ผ่านมา   -  ถ่ายนิตรสาร I-like model เทอกับฉัน
                       -  โฆษณา  เอ็กซิ  ขนมแจ็ค  แฟนต้า และก็พิชช่า
                       -  ละคร   เรื่องหมู่7เด็ดสะระตรี่ ตอน ตามติดชีวิตเด็กเอน
ผลงานปัจจุบัน   หนังเรื่องรักแห่งสยาม 


มาริโอ้ - พิช กับอีกช่วงชีวิตที่กำลังก้าวผ่าน

...พิช ว่า 'รักแห่งสยาม' เพียงเรื่องเดียวคงช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้นได้ไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยๆ ก็คงจะเป็นการเยียวยาหัวใจ ทำให้คนรู้สึกอิ่มเอม
และเข้าใจความหมายของคำว่ารักมากขึ้น เพื่อจะนำความรักไปมอบให้แก่กันได้อย่างถูกต้อง...

 
พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล กับ โอ้-มาริโอ้ เมาเร่อ
มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล กล่าวว่า 'รักแห่งสยาม' คือภาพยนตร์ส่วนตัวของเขา ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตและความรักอีกหลายๆ รูปของมนุษย์เราด้วยนอกจากนักแสดงมากฝีมืออย่าง สินจัย เปล่งพานิช, ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี และ เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ 'รักแห่งสยาม' ยังมี 2 หนุ่มน้อยวัย 18 ปี โอ้-มาริโอ้ เมาเร่อ และ พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ร่วมเป็นตัวแทนถ่ายทอดความรักในรูปแบบนั้นๆ เช่นกันไม่เพียงพูดคุยถึงงานแสดงชิ้นแรกของตัวเอง หากครั้งนี้ ทั้ง 2 หนุ่มยังจะมาเป็นตัวแทนบอกเล่าความนึกคิดของ 'วัยรุ่น' ที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านไปสู่วัยแห่งการเป็นผู้ใหญ่ในไม่ช้านี้ด้วยพร้อมแล้วไปคุยกับพวกเขากัน


'อยากลองครับ' สองหนุ่มบอกถึงเหตุผลที่รับงานภาพยนตร์เรื่องนี้
'โอ้ไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะมาเล่นหนัง แต่อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็อยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่' หนุ่มน้อยเชื้อสายไทย-จีน-เยอรมัน ผู้ผ่านงานโฆษณาและมิวสิควิดีโอมาแล้วหลายชิ้นกล่าว


ส่วนพิชว่าเขาสนใจงานด้านนี้อยู่เป็นทุนเดิม
'เรารู้ตั้งแต่มัธยมแล้วว่าอยากเรียนด้านภาพยนตร์ การได้เข้ามาเล่นก็เหมือนได้เข้ามาชิมลาง ได้เห็นบรรยากาศการทำงาน'

 

เป็นคนชอบแสดงออกอยู่แล้วด้วย?
โอ้ว่าเขาเคยเล่นละครโรงเรียนมาบ้าง
 'วันคริสต์มาสเขาให้ไปเล่นเป็นแกะ ก็สนุกดีฮะ' ซึ่งเราจะได้เห็นเสี้ยวมุมนี้ของเขาในหนังด้วย
'แต่จริงๆ โอ้ขี้อาย ใหม่ๆ ไปเจอคนเยอะๆ จะเขิน ไม่ค่อยพูด ตอนถ่ายโฆษณาชิ้นแรกยังเด็กอยู่ ประมาณ ม.4 ม.5 ตอนนั้นก็ยังเขินๆ อยู่ แต่ก็ผ่านไปได้'

ส่วนพิชว่าเวลามีงาน เขามักจะได้รับหน้าที่เป็นคนทำเพลงเสียมากกว่า
'จริงๆ มีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆ ที่โรงเรียนมีประกวดอะไร เพื่อนก็จะเชียร์ให้ไป แต่เหมือนไม่อยากทำ พิชเป็นคนสบายๆ ไม่ได้อยากจะมาแสดงออกแต่ถ้าอยากจะทำอะไรจริงๆ ถึงจะทำ สมมุติร้องเพลง มีคนมาขอให้ร้องก็ไม่ร้อง เขิน ต้องเราอยากจะร้องออกมาเองจริงๆ'


คนนึงก็ขี้อาย อีกคนก็ไม่ชอบแสดงออก ต้องมาเล่นหนังใหญ่เลยไม่ใช่เรื่องง่าย
'ยากมากครับ แล้วส่วนตัวโอ้เป็นคนตื่นสายด้วย เลยต้องปรับตัวเยอะ ที่สำคัญตอนที่ถ่ายนั้นเรียนอยู่ ม.6 ด้วย กำลังจะเอ็นท์ฯ ก็เครียดเหมือนกัน'
'พิชไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นคนไม่ค่อยเครียด ตลกๆ มากกว่า แต่ก็แอบกลุ้มใจว่าเราจะทำยังไงให้มันดีทั้ง 2 อย่าง เพราะเรามีข้อจำกัดอย่างนึงคืออยู่ที่เชียงใหม่ ถ้าเล่นนี่ต้องบินไปบินมาเลยนะ แล้วหนังสือหนังหาจะได้อ่านรึเปล่า'



โชคดีที่ทีมงานช่วยจัดระบบเวลาให้ สองหนุ่มเลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่แม้ว่าจะต้องทำความเข้าใจกับที่บ้านพอสมควรก็เถอะ'แม่บอกจะดีเหรอ เป็นช่วงเข้ามหา'ลัย เขาเลยแอบหวั่นๆ นิดนึง แต่แม่จะไม่บังคับ เราอยากทำอะไรเขาก็ให้ทำ แต่ต้องถูก ต้องดี'
'ของโอ้ห่วงเยอะเลยครับ แม่ด่าทุกวัน เขาบอกให้ไปเรียนเอแบคกับ ม.กรุงเทพ แต่โอ้คิดถึงตัวเอง แล้วก็งาน มันไม่ได้ เลยทะเลาะกับแม่ทุกวัน แรงด้วย เขาถามตกลงจะไปเรียนที่ไหน โอ้บอกรามฯ เพราะเราต้องทำงานไปด้วย อยากหาเงินช่วยที่บ้าน
เอแบคต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะด้วย สุดท้ายเขาก็โอเค'


เรียนรามฯยาก แต่จะพยายามให้จบภายใน 5 ปี  ไม่งั้นเดี๋ยวแม่ด่าเอา, นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์ สื่อสารมวลชน ว่ายิ้มๆ
'พิชว่ามันอยู่ที่ตัวเรามากกว่านะ จะมหาลัยไหน มันก็ดีเหมือนกันหมด' พิชบอก และอธิบายว่า ตอนแรกเขาเองก็เสียดายที่ไม่ได้เรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ตามรอยรุ่นพี่โรงเรียนและผู้กำกับฯในดวงใจอย่างชูเกียรติ แต่พอได้เข้าไปสัมผัสชีวิตที่คณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็พบว่า ไม่มีที่ไหนด้อยกว่าที่ไหนอย่างที่ใครเข้าใจกันหรอก


'พิชจะเลือกเอกภาพยนตร์ ซึ่งที่นี่เหมือนเขามีแนวคิดทำเพื่อสังคมเข้ามาด้วย แล้วการทำหนังก็ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง ให้ขายได้ แต่ต้องแคร์ว่ามันถูกตามจริยธรรมรึเปล่าด้วย'

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่างกับสมัยมัธยมมากแค่ไหน?
'ต่างกันเยอะเลย เพราะของโอ้ไม่มีใครสอน ต้องซื้อหนังสือเอง ไปดูวันสอบ สังคมเพื่อนก็ไม่ค่อยมี เพราะเราทำงานด้วย'
'ของพิชจะมีสังคมเพื่อนมากกว่า แต่มันต้องปรับตัว อยู่มหา'ลัย คนมาจากทั่วประเทศ ร้อยพ่อพันแม่ ก็ต้องเรียนรู้กันไป ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สนุกกับมัน แต่บางครั้งที่เราท้อ มีเรื่องข้างนอกมากระทบกดดัน ก็ทำให้คิดถึงบ้าน อยากกลับ เพราะตอนอยู่เชียงใหม่ เราบิ๊กมาก มีคนรู้จัก มีคนรัก แต่พอมาอยู่มหา'ลัย เราเหลือตัวแค่นี้ ก็อาศัยว่ากลับบ้านไปซึมซับกำลังใจดีๆ แล้วมาสู้กันใหม่'
 
พิชเล่าอีกว่าตอนแรกแม่อยากให้เรียนเชียงใหม่มากกว่ามาที่นี่
'เขากลัวใจแตก' หนุ่มน้อยว่าติดตลก
'แม่เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย กลัวว่ามีของล่อตาล่อใจจะบริหารเงินไม่ดี เราก็พยายามสร้างความเชื่อมั่น กลับบ้านตรงเวลา ใช้เงินประหยัด ไม่ได้ทำเพื่อให้ใจ แต่เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย รับผิดชอบให้มากขึ้น'



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=988042#ixzz1DwGCmAvH

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น